2nd benefit

2nd benefit

ปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค ต้องผลักดัน “กฎหมายองค์กรอิสระฯ”

pr news img 37247 1

เครือข่ายผู้บริโภค เสนอ 5 ข้อปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะ "กฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค"

เครือข่ายผู้บริโภค เสนอ 5 ข้อปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะ "กฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค" ต้องเร่งคลอดกฎหมายหลังล่าช้ามา 16 ปี เพื่อทำหน้าที่ให้ความคิดเห็นในตราและบังคับใช้มาตรการต่างๆ รวมทั้งการตรวจสอบ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และในระยะยาวเสนอแก้ไขพรบ.คุ้มครองผู้บริโภค

 

เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป (RRN) ร่วมกับคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จัดเวทีสาธารณะเรื่อง "การปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค" วันที่ 23 มีนาคม 2557 ณ ห้องรามายะนะ คิงส์ พาวเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพฯ โดยในช่วงแรกของเวทีฯ มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะการปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่

 

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายบัณฑิต ตั้งประเสริฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการปฏิรูปกฎหมาย นางสาวอรอุมา เกษตรพืชผล TPBS นายชูศักดิ์ ชื่อประโยชน์ กรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และดำเนินรายการโดยนางสาวสุรีรัตน์ ตรีมรรคา กรรมการผู้เชี่ยวเชาญด้านบริการสุขภาพ คณะกรรมการองค์กรอิสระฯ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ข้อเสนอการปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นรูปธรรม มี 5 ข้อเสนอเบื้องต้น คือ

1. เร่งรัดการออกกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ในการให้ความเห็นในการตราและการบังคับใช้กฎหมายและกฎ เช่น ถ้าจะปรับราคาแก๊ส ควรถามความเห็นของผู้บริโภคด้วย เป็นต้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบการคุ้มครองผู้บริโภคของหน่วยงานรัฐ เป็นต้น

"มีความพยายามผลักดันกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคมานานตั้งแต่ปี 2540 แต่ยังไม่สำเร็จ ปัจจุบันกฎหมายฯ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาวาระ 3 ของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ถ้ามีรัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องผลัดดันต่อให้กฎหมายฉบับนี้ออกมา" นางสาวสารีกล่าว

2. พัฒนากลไกยกเลิกสินค้าอันตรายอัตโนมัติ เช่น ยาอันตราย สารเคมีอันตราย หรือสินค้าอันตรายที่พบว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือมีนโยบายยกเลิกหนึ่งยกเลิกทั้งหมด(one ban all ban policy คือ เมื่อประเทศอื่นยกเลิกการใช้สารเคมีอันตราย ประเทศไทยก็ควรมีนโยบายยกเลิก

3. มีมาตรการเยียวยาเชิงลงโทษ ที่ทันท่วงทีและอัตโนมัติ เพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ เช่นกรณีเสียชีวิตจากรถโดยสารสาธารณะ ควรเยียวยา 7.5 ล้านบาท เทียบเท่ากับงบประมาณในการเยียวยาผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม ซึ่งเสนอโดย ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เป็นต้น

4. มีหน่วยงานเดียวรับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค(One Stop Service for Consumers) ทำหน้าที่ให้ข้อมูล รับเรื่องร้องเรียน และคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องอาหารและความปลอดภัยมีถึง 11 กระทรวง 13 หน่วยงาน ทำให้การดำเนินการต่างๆ มีความซับซ้อน ล่าช้า และไม่มีประสิทธิภาพ

5. มีช่องทางที่ชัดเจนจากหน่วยงานกำกับดูแลผู้คุ้มครองผู้บริโภคทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนสนับสนุนงบประมาณให้องค์กรผู้บริโภค เพื่อให้มีส่วนร่วมในการคุ้มครองผู้บริโภค การเผยแพร่ข้อมูล การเข้าถึงห้องทดลอง การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งตรวจสอบหน่วยงานรัฐในการคุ้มครองผู้บริโภคได้มากขึ้น


สำหรับข้อเสนอระยะยาวในการปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค นางสารีเสนอว่า ต้องแก้ไขพ.ร.บ.คุุ้มครองผู้บริโภค ใน 4 ประเด็น คือ หนึ่ง ขยายการคุ้มครองสิทธิการคุ้มครองผู้บริโภคให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ สอง ปรับปรุงคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีสัดส่วนผู้แทนผู้บริโภคไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง สาม ปรับปรุงกระบวนการเยียวยาเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการเยียวยา รวดเร็วและเป็นธรรม และสี่ สิทธิที่จะได้ความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความผิด ความเป็นธรรมจากการโฆษณา

 

นายบัณฑิต กล่าวว่า เห็นด้วยต้องมีการเร่งรัดกาออกกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงเรืองงบประมาณดำเนินการภาครัฐควรสนับสนุนองค์กรคุ้มครองผูุ้บริโภค รวมทั้งข้อเสนออื่นๆ แต่ประเด็นที่ต้องการเพิ่มเติมคือ บทบาทผู้บริโภคภาคพลเมืองจะต้องปรับเปลี่ยนจากที่เป็นผู้รับสารมาเป็นผู้ส่งสาร คือทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง ซึ่งจะเป็นบทบาทใหม่ของผู้บริโภคที่ต้องรักษาประโยชน์ให้สังคม นอกจากนี้ผู้บริโภคต้องรู้เท่าทันสื่อ ที่มีหลากหลายและหลายรูปแบบ

 

"ข้อเสนอต่างๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานหลักธรรมาภิบาล หลักคุณภาพ และหลักความโปร่งใส ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบด้วย" นายบัณฑิตกล่าว

 

นายไพโรจน์กล่าวว่า ใจกลางหรือหัวใจของการปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภคคือ ต้องมีกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะเมื่อมีองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคจะช่วยให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคให้สอดคล้องกับแนวคิดที่เปลี่ยนไปคือ เปลี่ยนจากรัฐกำกับดูแลมาเป็นองค์กรอิสระ และสร้างความเข้มแข็งให้ผู้บริโภค

 

"กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคต้องเปลี่ยนโครงสร้างกฎหมายทุกฉบับ เพื่อทำให้การปฏิบัติเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแม้กฎหมายองค์กรอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคจะพยายามผลักดันมา 16 ปีแล้วยังไม่เกิด แต่เราก็ต้องยืนยันที่จะยืดหยัดให้กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ให้ได้" นายไพโรจน์กล่าว

 

นางสาวอรอุมากล่าวว่า สนับสนุนให้มีกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะจะได้สามารถจัดตั้งกองทุนเยียวยาหรือกองทุนช่วยเหลือผู้บริโภคที่เดือดร้อน จากปัจจุบันที่ต้องหาเงินด้วยการของบริจาคเป็นโครงการ ซึ่งบางครั้งไม่เพียงพอและไม่ยั่งยืน แต่มีประเด็นฟากไว้ว่า เมื่อมีองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มผู้บริโภค จะเป็นเหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ หรือไม่ คือ พูดได้ เสนอได้ แต่ไม่มีพลังในการดำเนินการ หรือไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้อย่างแท้จริง


นายชูศักดิ์ กล่าวว่า แม้ยังไม่มีกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค แต่การคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของอาหารสามารถดำเนินการได้ทันที โดยในสภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาคสังคม ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ เนื่องจากเอกชนไม่ใช่ผู้ร้ายทุกราย มีทั้งดีและไม่ดี ก็ต้องเลือกผู้ประกอบการที่ดีและร่วมมือกับภาคสังคม เพราะมั่นใจว่าการทำงานร่วมกันระหว่างเอกชนกับภาคสังคม จะทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็ง

 

"นอกจากนี้ต้องตั้งเป้าการพัฒนาผู้บริโภคทุกจังหวัด ให้เขาต้องรู้จักสิทธิ์ รู้จักหน้าที่ และสิ่งที่จะได้เป็นอย่างไรเพื่อทำให้การร้องเรียนของผู้บริโภคมีเหตุ และผล แต่ถ้าไม่แก้จุดนี้สิ่งที่เราทำก็วนอยู่กับที่เหมือนเดิม"นายชูศักดิ์กล่าว

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากมูลนิธิผู้บริโภค ปี 2556 รายงานว่า มีปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนผ่านมูลนิธิผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภค 40 จังหวัด ทั้งหมด 3,561 เรื่อง ปัญหาที่ร้องเรียนมากที่สุดคือ เรื่องบริการสาธารณะ จำนวน 1,263 เรื่อง รองลงมาเป็นเรื่องโทรคมนาคม 749 เรื่อง เรื่องการเงินการธนาคาร 287 เรื่อง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ 196 เรื่อง สินค้าและบริการ 191 เรื่อง และอีก 229 เป็นเรื่องอื่นๆ

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557