2nd benefit

2nd benefit

คำพิพากษาคดี : คุณเจฟฟรี จี เอเลน ถูกเรียกเก็บเงินในบัญชีโดยไม่เป็นธรรม

  

         นายเจฟฟรี จี เอเลน ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยอยู่กินกับภรรยาชื่อ คุณทิพย์รัตน์ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้เปิดบัญชีออมทรัพย์กับทางธนาคารกรุงไทย สาขาแม่สะเรียง ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2548 เพื่อฝากเงินที่ได้รับจากสวัสดิการผู้สูงอายุในประเทศออสเตรเลีย และสมัครบัตรเป็นผู้ถือบัตรเดบิตและทำสัญญาเป็นผู้ใช้บัตรเดบิต เพื่อนำไปชำระค่าซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ แทนเงินสด รวมไปถึงในการเบิกถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ หรือ ที่เรียกกันว่า เอทีเอ็ม


         ต่อมาเมื่อประมาณ วันที่ 27 กันยายน 2554 คุณเจฟฟรีได้พบความผิดปกติของจำนวนเงินในบัญชีที่มีการลดลงจำนวนมาก จึงได้รีบติดต่อไปที่ธนาคารกรุงไทย สาขาแม่สะเรียง เพื่อขอให้ตรวจสอบในความผิดปกติที่เกิดขึ้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ธนาคารได้ทำการตรวจสอบแล้วจึงแจ้งว่า ได้มีรายการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2554 ถึงวันที่ 5 กันยายน 2554 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 120,599.35 บาท ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ทางคุณเจฟฟรีและภรรยา ยืนยันตรงกันว่าทั้งคู่อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศไปที่ไหน และไม่เคยให้บัตรเดบิตหรือรหัสที่ใช้บัตรกับผู้อื่นอย่างแน่นอน คุณเจฟฟรี ได้พยายามทักท้วงและให้เหตุผลกับทางธนาคารเพื่อให้คืนเงินกลับเข้าบัญชี แต่ทางธนาคารกลับแจ้งว่าไม่พบความผิดปกติ การใช้ดังกล่าวเป็นการใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าและบริการตามปกติ ไม่ใช่เป็นการทำธุระกรรมของมิจฉาชีพ คือพูดง่าย ๆ ว่า ทางธนาคารไม่เชื่อว่าคุณเจฟฟรีไม่ได้ใช้นั่นเอง ธนาคารจึงได้ปฏิเสธการคืนเงินให้แก่คุณเจฟฟรี เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้ทางคุณเจฟฟรีจึงได้มาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

         ซึ่งทางศูนย์ได้แนะนำให้คุณเจฟฟรี พยายามหาหลักฐานต่าง ๆ ที่สำคัญเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของธนาคาร เช่น หนังสือเดินทาง ที่ใช้ยืนยันในช่วงเวลาดังกล่าวว่าคุณเจฟฟรีอยู่ในประเทศไทย และให้ทำจดหมายเป็นไปรษณีย์ตอบรับไปถึงธนาคารกรุงไทย เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรและไม่ได้มอบบัตรให้บุคคลใดไปใช้ และขอให้ทางธนาคารแก้ไขปัญหาโดยการคืนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีโดยทันที

         ต่อมาธนาคารก็ได้ปฎิเสธการคืนเงินให้แก่คุณเจฟฟรีเหมือนเดิม โดยให้เหตุผลว่า คุณเจฟฟรีเป็นคนใช้บัตรเอง ธนาคารจึงไม่สามารถคืนเงินให้ได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ คุณเจฟฟรีจึงจำเป็นต้องฟ้องธนาคารกรุงไทย เป็นคดีผู้บริโภค ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2555 โดยเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 125,357.11 บาท

         โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา 9.30 น. ณ ห้องพิจารราคดี 8 ณ ศาลแขวงพระนครใต้ ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ. 1711/2555 ซึ่งเมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ทางจำเลยไม่มีหลักฐานยืนยันว่า โจทก์เป็นผู้นำบัตรเดบิตไปใช้ด้วยตนเองหรือยินยอมให้บุคคลอื่นนำไปใช้ แต่กลับไปนำความจากการนำสืบว่า บัตรเดบิตของโจทก์น่าจะถูกขโมยไปใช้ โดยไม่ปรากฏว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่า บัตรเดบิตของโจทก์ถูกขโมยไปใช้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้ใช้บัตรเองหรือได้ยินยอมให้บุคคลอื่นนำไปใช้ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรายการการซื้อสินค้าและใช้บริการดังกล่าวมาหักเงินจากบัญชีของโจทก์ได้ และเมื่อจำเลยได้หักเงินจากบัญชีธนาคารของโจทก์ไปแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินที่หักไปจากบัญชีของโจทก์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยหักเงินไปจากบัญชีของโจทก์ และการที่จำเลยทราบอยู่แล้วว่า กรณีนี้เกิดจากบุคคลอื่นขโมยบัตรเดบิตของโจทก์ไปใช้ เมื่อโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยกลับปฏิเสธไม่คืนเงินดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม จึงมีคำพิพากษาให้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 120,599.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 120,599.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 อีก 120,599.35 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 245,956.46 บาท และให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมต่อศาลแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความโจทก์ 5,000 บาท

         คดีนี้ ธนาคารกรุงไทยได้ยื่นอุทธรณ์ และต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากจำเลยไม่มีหลักฐานว่าโจทก์เป็นผู้นำบัตรเดบิตไปใช้เองหรือยินยอมให้คนอื่นนำไปใช้ จากข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าบัตรเดบิตของโจทก์ถูกขโมยไปจริง จำเลยจึงไม่มีสิทธินำรายการซื้อสินค้าและใช้บริการมาหักเงินจากบัญชีโจทก์ และให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายเชิงลงโทษในฐานะผู้ประกอบธรุกิจเอาเปรียบผู้บริโภค ศาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่ธนาคารจำเลยปฏิเสธในขณะที่ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในกระบวนการยุติธรรมก่อนไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จำเลยจะต้องจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ จำนวน ๑๒๐,๕๙๙.๓๕ บาท
ซึ่งในปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างที่ธนาคารกรุงไทยได้ขอฎีกาคำพิพากษาต่อศาลฏีกา

 

 พิมพ์  อีเมล