บริษัทประกันไม่รับผิดชอบผู้บริโภคดีพอ เครือข่ายผู้บริโภค ไม่หนุนกระทรวงการคลังทำประกันคนจน 99 บาท
เครือข่ายผู้บริโภคจัดเวทีความร่วมมือในการดูแลผู้บริโภค กรณีปัญหาผู้บริโภคกับการธุรกิจประกัน ไม่เห็นด้วยกับกระทรวงการคลัง จะมีการใช้เงินเกือบ 800 ล้านบาทซื้อประกันให้คนจน เหตุบริษัทประกันจำนวนมากยังไม่มืออาชีพในการให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมากเพียงพอหลังเกิดปัญหาเมื่อทำประกัน เป็นเพียงการสนับสนุนธุรกิจประกัน สวัสดิการชั่วคราวและไม่ยั่งยืน พร้อมเสนอให้รัฐมีระบบบำนาญช่วยเหลือประชาชนเพราะเป็นสวัสดิการโดยตรงต่อประชาชน
วันนี้ (8 กันยายน) คณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) จัดเวทีความร่วมมือในการดูแลผู้บริโภค กรณีปัญหาผู้บริโภคกับการธุรกิจประกัน
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการณีปลัดกระทรวงการคลังเตรียมเสนอ จัดสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมาตรแรก คือ การจัดทำประกันชีวิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยให้กับผู้มีสิทธิ์ทุกราย โดยอัตราค่าเบี้ย 99 บาทต่อราย มีความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพสิ้นเชิง เป็นเงิน 50,000-60,000 บาท และจ่ายชดเชยกรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ วันละ 300 บาท เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ
“กระทรวงการคลัง จะมีการใช้เงินเกือบ 800 ล้านบาทซื้อประกันให้คนจน เพราะบริษัทประกันจำนวนมากยังไม่มืออาชีพในการให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมากเพียงพอหลังเกิดปัญหาเมื่อทำประกัน เป็นเพียงการสนับสนุนธุรกิจประกัน สวัสดิการชั่วคราวและไม่ยั่งยืน พร้อมเสนอให้รัฐมีระบบบำนาญช่วยเหลือประชาชน” นางสาวสารีกล่าว
นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ เลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร นำเสนอสถานการณ์ปัญหาประกัน ม.ค.2557 - ส.ค. 2559 รวม 324 กรณี แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มปัญหาคือ 1.กลุ่มประกันชีวิต อุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ233 กรณี พบว่าเป็นปัญหาการขายประกันทางโทรศัพท์ 130 กรณี รองลงมากคือ บริษัทประกันบอกล้างสัญญาไม่จ่ายสินไหม อันดับ 3 การจ่ายเงินผลตอบแทนไม่ครบตามสัญญากรรมธรรม์ 2.กลุ่มประกันภัยรถยนต์ 84 กรณี พบว่าอับดับแรกคือผู้บริโภคไม่รู้สิทธิของตัวเอง อันดับ 2 การประวิงเวลาจ่ายค่าสินไหม อันดับ 3 ไม่จ่ายค่าสินไหมตามกรมธรรม์ 3.กลุ่มปัญหาประกันวินาศภัย 5 กรณี พบว่าปัญหาอันดับแรกคือปัญหาประกันปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม อันดับ 2 ธนาคารบังคับให้ชำระเงินเบี้ยประกันอัคคีภัยเพิ่ม อันดับ 3 บริษัทประกันไม่ส่งมอบกรมธรรม์ และ 4.กลุ่มประกันอัคคีภัย 2 กรณี
ภญ.ชโลม เกตุจินดา อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร มีข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหาโดยได้เสนอข้อเสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทย 4 ประเด็นนั่นคือ 1.ขอให้เยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม /บัตรเดบิตแบบมีประกัน 2.การทำประกันภัยคุ้มครองบ้านขอให้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน (เช่นวางเงินดาวน์ต่ำกว่าร้อยละ 20 ) และต้องไม่จำกัดสิทธิในการเลือกบริษัทที่ต้องการ 3.การทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อขอให้มีข้อมูลสุขภาพแนบท้ายสัญญาด้วย และ 4.เอกสารยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องระบุข้อมูลบริษัทและให้ผู้บริโภคเซ็นยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรแยกจากเอกสารใบคำขอ
พร้อมทั้งมีข้อเสนอต่อคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมประกอบธุรกิจประกันภัย 4 ประเด็นเช่นกัน 1.การขายประกันทางโทรศัพท์ ขอให้มีการส่งเอกสารให้ลูกค้าลงนามก่อนทำประกัน 2.การบอกล้างสัญญา อ้าง ผู้เอาประกันปกปิดข้อมูลสุขภาพ ขอให้มีการส่งประวัติข้อมูลสุขภาพแนบใบคำขอทำประกันชีวิตทุกครั้ง 3. การจ่ายเงินผลตอบแทนไม่ครบตามสัญญากรมธรรม์ ขอให้ คปภ.ดำเนินการเรียกบริษัทประกันมาจ่ายให้ครบตามโฆษณา และ 4.ปัญหาตัวแทนประกันทำผิด ขอให้ คปภ.เรียกให้บริษัทประกันร่วมรับผิดชอบด้วย
นายนรศิ พุกกะมาน ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่ายินดีรับข้อเสนอทั้งหมดกลับไปพิจารณา พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำกับดูแล ธปท.ว่า ธนาคารไม่สามารถขายพ่วงประกันได้ ตามประกาศของ ธปท. การเสนอขายต้องเคารพสิทธิของผู้ใช้บริการนั่นคือ 1.ได้รับข้อมูลครบถ้วน 2.ผู้บริโภคมีอิสระในการเลือกใช้บริการ 3.สิทธิที่จะได้ตั้งคำถามและร้องเรียน 4.สิทธิที่จะได้รับการชดเชย
“การเสนอขายประกันต้องแยกให้ผู้บริโภคเห็นอย่างชัดเจนว่าเสนอบริการใดให้ลูกค้าว่าทำบัตรเอทีเอ็ม หรือขายประกัน ห้ามบังคับขายประกันพ่วงให้ผู้บริโภคต้องใช้บริการอื่นๆของธนาคาร และต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับผู้บริโภคว่าส่วนไหนเป็นเงินฝาก ส่วนไหนเป็นสัญญาประกัน ซึ่งหากบังคับให้ผู้รับบริการซื้อเอทีเอ็มพวงประกันหรือให้ข้อมูลเป็นเท็จเข้าข่าย มาตรา 36 ตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิต 2551 หากบริการต่างๆไม่เป็นไปตามสัญญาทางธนาคารต้องชดเชยเยียวยา” นายนรศิ กล่าว
อนึ่งหากความผิดเป็นไปตามมาตรา 36 บริษัทนั้นๆ มีโทษปรับตามมาตรา 93 มีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หากทำผิดต่อเนื่องปรับอีกไม่เกินวันละ 20,000 ยาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
นางสาวราตรี เนตรพระฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ความเห็นต่อข้อเสนอว่ากรณีการขายประกันทางโทรศัพท์ ทาง คปภ.ได้ทำเรื่องการกำหนดเวลาการโทรขายประกันไปยังบริษัทประกันแล้ว หากยังพบปัญหาโทรศัพท์รบกวนอีกสามารถทำจดหมายร้องเรียนมาที่ คปภ.จะรับเรื่องดำเนินการให้
“การยกเลิกประกันทางโทรศัพท์นั้น เป็นปัญหาที่ผู้บริโภคไม่รู้วิธีการ ซึ่งทำได้หากได้รับกรมธรรม์แล้ว ยกเลิกภายใน 15 วันโดยถ่ายสำเนาบัตรประชาชน พร้อมเขียนยกเลิกส่งไปที่บริษัทนั้นๆ เพื่อเป็นหลักฐานในการยกเลิก การโทรไปที่บริษัทอาจถูกพนักงานอ้างว่าไม่ได้รับเรื่อง ”
นางสาวราตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าการขายประกันชีวิตพ่วงนั้น แนะนำว่าผู้บริโภคควรอ่านสัญญาต่างๆทุกครั้งก่อนลงชื่อในสัญญา โดยผู้ขายต้องมีใบสัญญาแยกอย่างชัดเจน และทาง คปภ.ไม่มีนโยบายสนับสนุน เป็นนโยบายของทางสถาบันการเงินเฉลี่ยความเสี่ยง โดยให้ผู้บริโภคทำประกันภัย และกรณีข้อเสนอการให้ตัวแทนขายประกันทำผิดต้องให้บริษัทเข้ามารับผิดชอบ เป็นไปตามมาตรา 70/1 อยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวล