2nd benefit

2nd benefit

องค์กรผู้บริโภคท้วง กสทช. อย่าฉวยจังหวะเอื้อเอกชนยามวิกฤต แนะลดค่าบริการดีกว่าแจกเน็ตฟรี

630402 1คอบช. วิจารณ์นโยบาย กสทช. แจก “เน็ตฟรี ”ฉวยจังหวะวิกฤตโควิดเอื้อรายได้ให้กับค่ายมือถือ แนะลดค่าบริการโทรคมนาคมถ้วนหน้าเป็นวิธีการช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้โดยตรงมากกว่า


ตามที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดเผยวานนี้ (31 มี.ค. 2563) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ได้อนุมัติการอุดหนุนค่าบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ประชาชนเพื่อสนับสนุนการทำงาน-เรียนที่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตฟรีแก่ประชาชนที่จดทะเบียนซิมมือถือในนามบุคคลธรรมดา ได้ใช้งานโมบายอินเตอร์เน็ตฟรี 10 GB เป็นระยะเวลา 30 วัน ส่วนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตบ้าน ก็จะได้รับการปรับเพิ่มความเร็วเป็น 100 Mbps ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนขอใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 10 – 30 เม.ย. นี้ โดยจะสามารถใช้งานได้ 30 วันภายหลังที่ได้มีการกดรับสิทธิ์
แม้มาตรการนี้มีเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคมและส่งเสริมการทำงานที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเอื้อผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือไม่ ส่วนประชาชนก็อาจมีเพียงบางกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในลักษณะผลพลอยได้เท่านั้น
rutรศ.รุจน์ โกมลบุตร กรรมการด้านสื่อและโทรคมนาคม องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า การที่ กสทช. มีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนั้นเป็นสัญญาณที่ดี แต่มาตรการที่เลือกใช้อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากมิใช่ว่าผู้บริโภคทุกรายจะจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตปริมาณมาก มาตรการดังกล่าวจึงอาจตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้บริการทั่วไปอาจไม่ได้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์เทียมๆ กล่าวคือ ได้กดรับสิทธิ์ แต่ไม่มีการใช้งานหรือใช้ได้ไม่เต็มจำนวน โดยที่ กสทช. กลับต้องอุดหนุนในลักษณะเหมาจ่ายให้กับบริษัท เท่ากับผู้ประกอบการได้ผลประโยชน์แบบเต็มที่และหลายต่อ ทั้งขายบริการได้มากขึ้น รับเงินเกินกว่าบริการที่มีการให้บริการจริง เป็นต้น

“การเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตไม่ได้ช่วยผู้บริโภคทั่วไปในภาวะยากลำบากนี้ หรือแม้แต่ผู้ที่ตามปกติต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตปริมาณมาก เพราะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือส่วนใหญ่ก็มักใช้แพ็กเกจที่ให้ปริมาณอินเทอร์เน็ตต่อเดือนเพียงพออยู่แล้ว มาตรการของ กสทช. จึงเหมือนการช่วยผู้ประกอบการขายของ โดยเสนอของชนิดเดียวใส่มือประชาชนทุกคน พร้อมกับบอกว่ารับฟรีๆ ซึ่งตามพฤติกรรมคนทั่วไปก็ย่อมจะรับมาโดยไม่ได้คำนึงถึงว่ามีความต้องการใช้ของนั้นจริงไหม หรือรับมาแล้วจะต้องใช้เต็มที่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วของนี้ไม่ได้ได้มาฟรี ถึงแม้ประชาชนหรือผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายเงินโดยตรง แต่ กสทช. จะเอาเงินกองทุนฯ มาอุดหนุนให้ผู้ประกอบการ ซึ่งเงินกองทุนปกติมีไว้เพื่อทำบริการโทรคมนาคมแก่พื้นที่ห่างไกลหรือผู้ขาดโอกาส จึงเท่ากับว่าสังคมต้องเสียโอกาสในส่วนนั้นไป ที่สำคัญ ดูเหมือนว่า กสทช. ก็จะจ่ายตามจำนวนคนกดรับสิทธิ์ ตามตัวเลขที่ผู้ประกอบการแจ้ง ซึ่งยากที่จะตรวจสอบความถูกต้อง ซ้ำยังไม่ใช่ส่วนของต้นทุนจริงอีกด้วยนอกจากนี้ การที่ กสทช. กำหนดจำกัดระยะเวลาการใช้ไว้เพียง 30 วัน ก็ไม่แน่ใจว่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ว่าโรคระบาดนี้จะคลี่คลายภายใน 30 วันหรือไม่ และเสมือนเป็นการเร่งรัดการใช้บริการโดยไม่จำเป็น จึงมีคำถามว่า เหตุใด กสทช. จึงเลือกมาตรการที่ไม่ตรงไปตรงมาเช่นนี้”

รศ.รุจน์ โกมลบุตร ระบุด้วยว่า ในส่วนการปรับเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านเป็น 100 Mbps ก็เป็นมาตรการที่ชวนตั้งคำถามเช่นกัน เนื่องจากประชาชนที่ยากลำบากของประเทศไม่ใช่ผู้เข้าถึงบริการดังกล่าวอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ส่วนใหญ่ก็ใช้แพ็กเกจที่กำหนดความเร็วไว้มากกว่า 100 Mbps ในขณะที่ถ้าเป็นบริการแบบ ADSL/VDSL/Copper ต่อให้ปรับความเร็วสูงสุดก็ทำได้ไม่ถึง 100 Mbps

สำหรับข้อเสนอมาตรการที่ควรจะเป็น นายโสภณ หนูรัตน์ นักวิชาการด้านกฎหมาย คอบช. กล่าวว่า กสทช. มีทางเลือกในเรื่องของมาตรการที่จะตอบสนองต่อแนวความคิดที่ดีได้หลายแนวทางด้วยกัน ซึ่งเป็นมาตรการที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภคโดยตรงและทั่วถึงเช่น การลดค่าบริการให้กับผู้บริโภคทุกราย ซึ่งอาจใช้วิธีการหักลบค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคต่อเดือนเท่ากันทุกคน เช่น 50 บาท หรือลดเป็นสัดส่วนเช่น ร้อยละ 30 ของค่าบริการ โดย กสทช. ก็ชดเชยให้ผู้ประกอบการไปตามรายได้ที่ลดลง หรือดีกว่านั้นก็อาจชดเชยตามต้นทุนค่าบริการในส่วนรายได้ของบริษัทที่ขาดหาย หรือแม้กระทั่งอาจชดเชยเพียงครึ่งเดียว เพราะในต่างประเทศก็มีกรณีที่ผู้ให้บริการให้การช่วยเหลือผู้บริโภคโดยตรงโดยที่ภาครัฐไม่ต้องอุดหนุนชดเชยคืนให้ ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะตรงไปตรงมามากกว่า และผู้บริโภคทุกรายได้รับประโยชน์แน่นอนส่วนกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม ก็สามารถนำเงินส่วนที่ลดนี้ไปซื้อบริการเพิ่มได้

อย่างไรก็ตาม หาก กสทช. ยืนยันจะเดินหน้ามาตรการเดิม คือการเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตให้ประชาชน คอบช.มีข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการที่ควรดำเนินการควบคู่ไปด้วย ได้แก่1) กสทช. ควรกำหนดให้ค่ายมือถือต่างๆยกสิทธิ์การใช้งานตามแพ็กเกจปกติที่เหลือในช่วงเดือนที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคให้ผู้บริโภคสามารถใช้ได้ในเดือนถัดไปเนื่องจากโดยทั่วไป ผู้บริโภคมักใช้งานไม่เต็มโปรโมชั่นปกติของตนเองอยู่แล้ว และยังอาจจะกดรับสิทธิ์เพิ่มเติมด้วย ทำให้ค่ายมือถือได้เงินฟรีเพิ่มขึ้นในส่วนแพ็กเกจเดิม 2) กสทช. ควรอุดหนุนเงินให้ผู้ให้บริการตามปริมาณอินเทอร์เน็ตที่ผู้บริโภคซึ่งกดรับสิทธิ์ใช้จริงเท่านั้น ไม่ใช่เพียงมีผู้บริโภคกดรับสิทธิ์แล้ว บริษัทก็ได้เงินไปฟรีๆ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องกำหนดให้ค่ายมือถือยอมทบอินเทอร์เน็ตส่วนที่เหลือจาก 10GBนั้นไปใช้งานต่อได้เรื่อยๆจนกว่าจะใช้ครบเต็มจำนวน 3) เมื่อปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะเน็ตช้าหรือไม่เสถียร ดังนั้น กสทช. จะต้องกำกับดูแลคุณภาพสัญญาณและการให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเข้มข้นขึ้นด้วย

นอกจากนั้นยังควรมีการกำหนดมาตรการเสริมอื่นๆ สำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น สนับสนุนผู้ให้บริการตอบสนองกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มในปริมาณมาก เช่นกลุ่มนักศึกษา-อาจารย์ ด้วยการออกแพ็กเกจเฉพาะในราคาพิเศษ ขยายวันใช้งานให้แก่ผู้ใช้บริการมือถือระบบเติมเงินออกไปจนกว่าสภาวะโรคระบาดจะยุติเนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้อาจประสบปัญหาความลำบากหรือมีอุปสรรคในการเติมเงินเข้าระบบ

“อยากขอให้ กสทช. และกระทรวงดิจิตอลฯ พิจารณาข้อเสนอทั้งหลายด้วย เพื่อที่ความตั้งใจดีจะได้ส่งผลดีจริงๆ ต่อผู้บริโภค” นายโสภณ กล่าวทิ้งท้าย

อนึ่ง เดิมทีสำนักงาน กสทช. มีความประสงค์จะเสนอมาตรการช่วยเหลือประชาชนด้วยการเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตนี้ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติเนื่องจากจะชดเชยให้ผู้ประกอบการด้วยการหักเงินที่ต้องชำระค่าประมูลคลื่นความถี่ 5G ก่อนนำส่งรายได้เข้ารัฐ รวมถึงระยะเวลาของมาตราช่วยเหลือจะครอบคลุมทั้งสิ้น 3 เดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเสนอที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอีเอส) เพื่อพิจารณา ที่ประชุมมีความเห็นว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเงินที่ได้จากการประมูลต้องนำเข้ารัฐเท่านั้น แต่หากจะนำมาใช้ต้องแปรงบประมาณปี 2563 ซึ่งงบประมาณปี 2563 ทำไม่ทันแล้ว จึงต้องใช้เงินจากงบกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ดังนั้นจึงได้มอบอำนาจให้ กสทช. เป็นผู้กำหนดงบประมาณและเงื่อนไขของมาตรการ และเสนอที่ประชุมครม. ในวันที่ 30 เม.ย. เพื่อทราบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นในทางกฎหมายอยู่ดีว่า การใช้เงินกองทุน กทปส. ในลักษณะนี้อยู่ในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาตหรือไม่