บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิตมีประกัน “คุ้มมั๊ย ?”
คงเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินเดือนหรือทำธุรกรรมทางการเงิน นั้นเพื่อความสะดวก แต่ถ้าต้องการให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องไปธนาคาร ก็ต้องทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตด้วย แต่การทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต มักจะถูกพนักงานธนาคารยัดเยียดให้ทำบัตรแบบพ่วงประกัน โดยมัก อ้างว่าบัตรเอทีเอ็มแบบเดิมหมด หากจะทำต้องรอนาน มีแต่บัตรเดบิตแบบพ่วงมีประกัน ซึ่งตอนนี้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์คุ้มครองอุบัติเหตุด้วย เป็นต้น มาดูกันซิว่า หากเราทำบัตรเดบิตพ่วงประกัน เราจะได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นจริง หรือว่า เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า
ค่าธรรมเนียม
มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีรวมกับเบี้ยประกัน
เงื่อนไขประกัน
- ไม่ทราบ เพราะไม่มีกรมธรรม์ ทำให้ไม่รู้ว่าบัตรเอทีเอ็ม/ เดบิต เป็นประกันแบบไหน คุ้มครองสุขภาพ อุบัติเหตุ และเมื่อถือบัตรไปเคลมประกันจะสามารถเคลมค่าสินไหมอะไรได้บ้าง
- เข้าใจผิดเพราะพนักงานบอกไม่หมด ให้ข้อมูลไม่ครบ เช่น บอกว่าสามารถเคลมประกันได้หากเกิดอุบัติทุกกรณี แต่ไม่แจ้งว่า ไม่คุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นต้น
การเคลมประกัน
ต้องเลือกเคลมอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้ที่ถือบัตรเอทีเอ็ม/ บัตรเดบิตมีประกัน เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย แล้วไปใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลที่ตนเองมีอยู่เดิม เช่น บัตรทอง บัตรประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการ ไม่สามารถนำหลักฐานใบเสร็จรับเงินไปเบิกซ้ำซ้อนกับประกันของบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตแบบมีประกันได้ เพราะต้องใช้ต้นฉบับตัวจริงทั้งใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์ ทั้งนี้ โรงพยาบาลจะเบิกตามสิทธิของผู้ป่วยก่อน ยกเว้นว่าประกันที่ซื้อพ่วงกับบัตรเดบิตนั้นให้สิทธิในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายรายวัน เช่น หากเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ต้องนอนโรงพยาบาล ประกันเหมาจ่าย วันละ 1,000 บาท สามารถใช้สำเนาใบเสร็จและใบรับรองแพทย์เคลมประกันได้ แต่กรณีนี้มักจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันที่เจ็บป่วยแล้วต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเท่านั้น หากเป็นผู้ปวยนอกมักจะไม่สามารถเคลมประกันแบบเหมาจ่ายได้
กรณีหากเลือกใช้การเคลมประกันตามบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต จะพบว่าหากเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน จึงจะไปเคลมกับบริษัทประกันได้ หรือ หากไปโรงพยาบาลเอกชน ต้องเช็คว่าโรงพยาบาลนั้นๆ สามารถจัดการเคลมประกันได้เลยโดยเไม่ต้องสำรองจ่ายหรือไม่ เพราะโรงพยาบาลที่ไปใช้บริการอาจไม่ใช่โรงพยาบาลที่อยู่ในเครือของบริษัทประกันที่ทำข้อตกลงไว้ ยุ่งยากกับคนทำประกันว่าหากต้องเคลมประกันเองจะทำอย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
คงต้องให้ผู้บริโภคพิจารณากันเองว่า “ การทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตแบบมีประกัน คุ้มมั๊ย” ต้องการทำบัตรแบบไหน เพราะการทำประกัน “ เป็นเรื่องความสมัครใจ” ไม่ใช่ถูกบังคับหรือเสมือนถูกบังคับให้ทำ ทั้งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศแนวนโยบาย “ ห้ามขายผลิตภัณฑ์ของธนาคารพ่วงประกัน ” [1]
หากพบปัญหาพนักงานธนาคารมีพฤติกรรมยัดเยียดให้ทำบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตมีประกันสามารถร้องเรียนได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร.1213 หรือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 02-248-3737
คณะอนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร
[1] ตามประกาศของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เรื่อง แนวนโยบายการกำกับดูแลการขายผลิตภัณฑ์ด้านหลักทรัพย์และะด้านประกันภัยผ่านธนาคารพาณิชย์ ข้อ 3.1 การเสนอขายผลิตภัณฑ์ของธนาคารพาณิชย์ (3) ห้ามธนาคารพาณิชย์บังคับขายผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์และประกันภัยควบคู่กับผลิตภัณฑ์ของธนาคารพาณิชย์ หรือกำหนดเเป็นเงื่อนไขในการขายหรือให้บริการผลิตภัณฑ์หลัก เช่นให้ผู้บริโภคทำประกันภัยกับริษัทใดบริษัทหนึ่งเพื่อเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาให้สินเชื่อ หรือให้ผู้บริโภคทำประกันชีวิตก่อนเมื่อขอใช้บริการเช่าตู้นิรภัย โดยธนาคารพาณิชย์ต้องให้สิทธิแก่ผู้บริโภคในการตัดสินใจเลื่อซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคปฏิเสธการซื้อผลิตภัณฑ์ได้