2nd benefit

2nd benefit

บำนาญแห่งชาติกับรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม

บำนาญแห่งชาติกับรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม
เมื่อ
วันที่ 29 - 30 เมษายน ที่ผ่านมาเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศได้จัดประชุมสมัชชาผู้บริโภคประจำปีสำหรับปีนี้เป็นประเด็นระบบคุ้มครองผู้บริโภคกับสังคมผู้สูงวัยซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการ เช่น ทุกข์ของผู้สูงวัยประกันภัยผู้สูงวัย ผู้บริโภคกับการบริโภคยา รวมทั้งเรื่องบำนาญแห่งชาติซึ่งผมจะเล่าให้ฟังพร้อมกับข้อเสนอบางอย่างของผมเอง


       
       
แต่ก่อนอื่นดูบรรยากาศของงานจากภาพถ่ายในเว็บไซต์ของคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน

        นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน กรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขสปสช. ได้รับเชิญให้ปาฐกถาพิเศษในงานนี้ผมได้รับความรู้และข้อคิดจากการบรรยายครั้งนี้เยอะเลยครับ
       
       
คุณหมอวิชัยได้อ้างถึงงานสำรวจเมื่อปี 2558 (โดยใครผมฟังไม่ทัน)พบว่า ร้อยละ 85 ของผู้สูงอายุ (ซึ่งหมายถึงผู้มีอายุกว่า 60 ปีมีจำนวน 10 ล้านคน) ของประเทศไทย ยังมีสุขภาพแข็งแรง และร้อยละ 13 อยู่ในสภาพที่เรียกว่า ติดบ้านแต่ยังพอช่วยตัวเองได้ ที่เหลืออีก 2% อยู่ในสภาพ ติดเตียง
       
       
ดังนั้น วิสัยทัศน์ของประเทศไทยต่อผู้สูงวัยควรจะเป็นผู้สูงวัยคือพลังของสังคมไม่ใช่ภาระของสังคมอย่างที่เคยเข้าใจกัน
       
       
ด้วยวิสัยทัศน์ดังกล่าวคุณหมอวิชัยได้ยกเอาคำแนะนำขององค์การสหประชาชาติ 4 ข้อ คือ (1) พัฒนาคนให้มีความเข้มแข็งขึ้น (2) พัฒนาองค์กรหรือการรวมกลุ่มของผู้สูงวัย (3) สร้างเครือข่าย และ (4) ผลักดันเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมซึ่งหมายรวมถึงการสร้างกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ดีขึ้น
       
       
คุณหมอวิชัยได้เปรียบเทียบสังคมประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์กับประเทศไทย พบว่าสองประเทศนี้เขามีฐานะดี หรือรวยก่อนที่จะสูงวัยแต่ของประเทศไทยเราสูงวัยก่อนที่จะร่ำรวยดังนั้น สังคมไทยจึงควรจะมีการคุ้มครองผู้สูงวัยอย่างเป็นระบบ
       
       
ปัจจุบัน รัฐบาลได้จ่ายเงินค่ายังชีพให้กับผู้สูงอายุเดือนละ 600 ถึง 1,000 บาท ซึ่งรวมทั้งหมดเป็นเงินปีละ 6 หมื่นล้านบาทในขณะที่ถือกันว่าระดับเส้นความยากจนอยู่ที่เดือนละ 2,644 บาทนั่นแปลว่าเงินที่ได้รับเพียงวันละ 20-30 บาทไม่เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้
       
       
ในช่วงบ่าย ในกลุ่มย่อย หัวข้อความเป็นไปได้ทางการเงินการคลังในการมีบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้าของประชาชนวิทยากรได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม ซึ่งผมได้นำมาเขียนกราฟใหม่ ดังรูป
บำนาญแห่งชาติกับรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม

        ตามนิยามขององค์การสหประชาชาติ ถือว่า ถ้าสัดส่วนของประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปี ถึง 10% จะถือว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุซึ่งประเทศไทยเราเป็นแล้วตั้งแต่ปี 2545 (ดูกราฟ) ปัจจุบัน (2558) ร้อยละของประชากรที่มีอายุเกิน 60% มีถึงร้อยละ 14.2 นักวิชาการคาดว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2567 คือมีเกินร้อยละ 20 และสังคมผู้สูงอายุสุดยอด(25%) ในปี 2573
       
       
จากข้อมูลที่นำเสนอโดยคุณนวพร วิริยานุพงศ์ เศรษฐกรชำนาญการพิเศษกระทรวงการคลัง พบว่า ระบบบำเหน็จบำนาญของไทย เป็นผู้เคยรับข้าราชการ 2.02 ล้านคน ผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 7.8 ล้านคน จากกองทุนประกันสังคม 11.5 ล้านคน(อาจจะหมายถึงผู้ยังไม่เกษียณ-ไม่แน่ใจ)
       
       
กลุ่มที่กำลังประสบปัญหารุนแรงมากก็คือ ผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 7.8 ล้านคน ซึ่งได้รับเดือนละ 600 ถึง 1,000 บาทเท่านั้นในขณะที่เส้นความยากจน 2,644 บาท
       
       
ด้วยเหตุนี้จึงมีกลุ่มศึกษาเรื่อง บำนาญแห่งชาติเกิดขึ้น ซึ่งเป็นบำนาญสำหรับคนไทยทุกคนเพื่อให้สามารถเลี้ยงชีพได้
       
       
ปัญหาก็คือแล้วรัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน
       
       
ในปี 2557 ภาระของกระทรวงการคลังในเรื่องผู้สูงอายุทุกประเภทรวม 2.7 แสนล้านบาท หรือ 2.1% ของจีดีพี หรือ 10% ของงบประมาณแผ่นดินโดยมีแนวโน้มว่าในปี 2567 จะเพิ่มเป็น 6.8 แสนล้านบาทหรือ 3.0% ของจีดีพีซึ่งก็ถือว่าเป็นภาระที่หนักของรัฐบาลอยู่แล้ว
       
       
ผมลองสมมติว่า ถ้าผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ได้รับบำนาญเดือนละ 2,300 บาท ก็ต้องใช้เงินปีละ 2.8 แสนล้านบาท แล้วจะเอาเงินมาจากไหน?
       
       
มีผู้เสนอให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยมีข้อมูลว่าทุกๆ 1% ของภาษีมูลค่าเพิ่ม จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น 7 หมื่นล้านบาทดังนั้น ถ้าต้องการเงินเพิ่ม 2.8 แสนล้านบาท ก็ต้องเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 11% คือเพิ่มขึ้นอีก 4% จากปัจจุบัน
       
       
ในที่ประชุม ไม่ได้มีการกำหนดว่าจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละเท่าใดแต่คนรุ่นใหม่บอกว่าพวกเขายินดีจะจ่ายเพิ่มเพื่อตอบสนองความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุในอนาคต แต่ในวันนั้นยังไม่รู้ว่าถ้าเพิ่มเป็น 11% แล้วคนรุ่นใหม่จะรับไหวไหม?(ฟิลิปปินส์ 10%, ญี่ปุ่น 8%, นิวซีแลนด์ 12.5%, มาเลเซีย 5%, เดนมาร์ก 25%)
       
       
ผมเองไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเพราะเป็นระบบภาษีที่ไม่มีการจำแนกระหว่างคนรวยกับคนจนแม้ว่าคนรวยบริโภคสินค้ามากกว่าคนจนนั่นคือคนรวยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนเงินมากกว่าคนรวยก็จริงแต่เมื่อคิดเป็นอัตรารายได้ของแต่ละกลุ่มแล้วคนรวยจ่ายภาษีในอัตราที่น้อยกว่าคนจน
       
       
หลักคิดของสังคมไทยและสังคมโลกโดยทั่วไปมักคิดว่าคนรวยต้องเสียในอัตราที่สูงกว่าคนจน (เช่น ภาษีเงินได้) ดังนั้นการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจึงทำให้คนจนมีภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าคนรวยเมื่อเทียบกับรายได้ของแต่ละกลุ่ม
       
       
ผมเสนอว่า ควรจะเอาภาษีที่ได้จากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ปิโตรเลียม แร่ เป็นต้น เพราะทรัพยากรเหล่านี้เป็นสมบัติของคนไทยทุกคนและทุกรุ่นไม่ใช่สำหรับคนบางรุ่น เช่น ดีบุก ที่เราเคยส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลกแต่ได้ถูกขุดจนหมดไปแล้ว เมื่อ 30 ปีก่อนและปิโตรเลียมซึ่งกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า
       
       
ประเทศนอร์เวย์แก้ปัญหาดังกล่าวโดยได้นำรายได้จากปิโตรเลียมมาจัดตั้งเป็นกองทุนบำนาญแห่งชาติ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีจำนวนเงินมากที่สุดในโลกผมไม่แน่ใจว่าเขาเอาเฉพาะภาษีหรือเอารายได้จากปิโตรเลียมทั้งหมดแต่กองทุนนี้มีมากกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์มากกว่าจีดีพีของไทยถึง 3 เท่า
       
       
ประเทศไทยเราเองมีรายได้จากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ในปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันยังแพงอยู่ประมาณปีละ 1.4 แสนล้านบาทตอนนี้น่าจะลดลงมาเหลือประมาณ 1 แสนล้านบาทซึ่งก็ยังไม่พอกับความต้องการคร่าวๆ คือ 2.8 แสนล้านบาท
       
       
อาจมีคนแย้งว่าเงินรายได้ของรัฐจากปิโตรเลียมก็เป็นเงินก้อนเดียวกันกับงบประมาณแผ่นดินไม่ใช่เงินก้อนพิเศษที่เพิ่มเข้ามาใหม่ก็จริงอยู่ แต่ประเด็นสำคัญของผมก็คือเงินก้อนนี้เป็นสมบัติของคนไทยทุกรุ่น ไม่ใช่คนรุ่นใดรุ่นหนึ่งดังนั้นจึงจำเป็นต้องกันเงินก้อนนี้ออกมาต่างหาก คือ กองทุนบำนาญแห่งชาติเป็นเงินคงคลัง จะใช้ได้เฉพาะดอกผลเท่านั้น
       
       
ทรัพยากรธรรมชาติของเราไม่ได้มีเฉพาะปิโตรเลียม เรามีโปแตช ทองคำฯลฯ รวมถึงคลื่นความถี่โทรคมนาคมและการสื่อสาร ซึ่งเป็นเงินก้อนโตมา
       
       
นอกจากนี้ ภาษีจากการท่องเที่ยวทั้งจากธรรมชาติและวัฒนธรรม (ซึ่งเป็นรายได้สูงสุด) ก็เป็นสมบัติร่วมของคนไทยทั้งชาติและทุกรุ่นผมว่ารวมๆกันเงินจากทรัพยากรดังกล่าวน่าจะโตไม่น้อย
       
       
และหากยังไม่พออีก ก็ต้องใช้หลักการจัดอันดับความสำคัญ สำหรับผมยึดหลักว่า ในเมื่อทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นสมบัติของคนไทยทุกรุ่นจึงจำเป็นต้องเก็บเอาไว้ให้คนไทยรุ่นหลังด้วย คนรุ่นปัจจุบันหรืออนาคตจะมาผลาญเล่นย่อมไม่ได้
       
       
หากงบประมาณไม่พอจริงๆก็จำเป็นที่คนรุ่นปัจจุบันจะต้องตัดงบประมาณของตนลงมาจะเอาเงินของคนรุ่นอนาคตมาใช้เล่นเพลินๆ อย่างในอดีตไม่ได้แล้ว
       
       
ผมว่า แนวคิดที่ผมได้กล่าวมานี้จะนำประเทศเราไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนถึงแม้จะว่าไม่ มั่งคั่งก็ยังดีกว่าไม่มีทั้ง 3 อย่าง หากคนรุ่นนี้ไม่เห็นแก่คนในรุ่นของตนเองมากเกินไป

ประสาท มีแต้ม  กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน
ข้อมูลจาก ผู้จัดการ Online 1 พ.ค.59